วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังกลางแปลง

ตอนเป็นเด็ก พ่อใหญ่ จะพาผมไปดูหนังกลางแปลงตลอดเลยครับ ท่านจะจูงมือหลานเดินข้ามหมู่บ้านไปทีละหลาย ๆ หมู่บ้านเพื่อดูหนังกลางแปลง บางทีก็ให้ขี่หลัง สมัยโน้นไม่มีจักรยาน หรือรถยนต์แบบทุกวันนี้ครับ เพราะทางบ้านค่อนข้างจน จริงแล้วต้องเรียกว่า จนเลยล่ะ ไม่ใช่ค่อนข้างจน

แต่ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขมากครับ ไม่สำคัญหรอกว่า เราจะมีเงินเท่าไหร่
ว่าแต่ ทำไมผมถึงชอบดูหนังกลางแปลงนะ นั่นสิ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนเยอะ มีของเล่นขายในงาน มีลูกโป่ง แล้วก็มีหนังจอใหญ่ ๆ ฉายบนผ้า ว้าวววว ผมตื่นเต้นมากเลยครับ ไม่รู้เรื่องหรอกว่าหนังอะไร รู้แค่ว่ามีความสุขมากมาย กว่าจะได้กลับบางทีก็ดึกมาก แต่จำไม่ได้ว่าดึกแค่ไหน

ทุกครั้งที่ไปก็จะถือเก้าอี้เล็ก ๆ ไปด้วย (ตั่ง) แล้วก็มีเสื่อไปด้วยเอาไว้นั่งครับ เพราะถ้าไม่เอาไปเราก็ต้องนั่งกับพื้นหญ้า บางทีก็มีมด บางทีก็เปียก

ยิ่งเข้าหน้าหนาว เวลาไปดูหนังกลางแปลงนะครับ ถึงกับต้องเอาผ้าห่มไปด้วย เพราะอากาศจะหนาวมาก เคยมีหลายครั้งที่ผมหลับไปเลย แล้วคุณตาอุ้มกลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ ชีวิตในวัยเด็กของผมก็เลยจะผูกพันธ์กับคุณตาอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นพ่อคนที่สองของชีวิตผมเลย ท่านสอนหลายสิ่ง ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และได้ให้แนวคิดดี ๆ มากมาย จนกลายมาเป็นผมในวันนี้ได้

พ่อใหญ่อ่อน

พ่อใหญ่อ่อน หรือจารอ่อน คือคุณตาของผม ท่านเป็นที่เคารพของผู้คนทั้งหมู่บ้าน เพราะว่าท่านมีมนต์ที่เป่ารักษาคนได้ ไม่ว่าจะเป็นไข้ ก้างปลาติดคอ ไม่สบาย หรือเป็นโรคอะไรต่าง ๆ ที่ทางการแพทย์รักษาไม่หาย หากได้ให้คุณตาผมเป่าเป็นต้องหายทุกรายครับ คนก็เลยพากันแวะเวียนมาเยอะมาก ๆ ไม่ใช่เพราะว่ารักษาได้จริง แต่เพราะไม่คิดค่ารักษา และถามไถ่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง ทำให้มีคนมาเยอะ แล้วก็มักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากกันประจำ ผมก็เลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย

ช่วงวัยเด็กนั้น แม่จะให้ผมอยู่กับคุณตา ตอนนั้นเองผมก็นอนดึก ชอบเล่นดิน เล่นใบไม้ จนดึกดื่นบางวันก็เกือบเช้า คุณตาก็ต้องเล่นเป็นเพื่อนผมตลอดเวลา ท่านใจดีมาก คอยดูแลหลานชายคนนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่เคยดุด่า ว่าตี แม้แต่ครั้งเดียว เป็นคุณตาที่แสนอบอุ่น อบอุ่นอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกได้จากที่ไหนเลย

มีหลายฉากหลายตอนมาก ที่อยากเล่า เกี่ยวกับผมในวัยเด็ก และคุณตาของผม ที่ผมจะจำได้แม่นที่สุดคือตอนเข้านอน กับตอนตื่นนอนครับ ขอเล่าทีละตอนแล้วกัน เริ่มจากตอนเข้านอนคุณตาจะพาสวดมนต์ และที่น่ารักมาก ๆ อย่างที่สุดก็คือคุณตาจะเล่านิทานก่อนนอนให้หลานชายคนนี้ฟัง ทุกคืน บางทีก็หนึ่งเรื่อง บางทีก็หลายเรื่อง บางทีก็เล่าครึ่งนึงไว้ก่อน อีกครึ่งนึงค่อยเล่าวันหลัง ที่ชอบมากคือคุณตาจะมีเรื่องต่าง ๆ มาเล่าตลอดไม่เคยซ้ำซักที แถมยังจำได้อีกนะครับว่า เรื่องไหนเล่าไปแล้ว เรื่องไหนยังไม่เคยเล่า โอ้ ทำได้ยังไงเนี่ย

ที่จำได้แม่นยำอีกก็คือตอนตื่น ผมมักตื่นมาตอนเช้ามืดตลอดครับ อาจจะเพราะว่าที่บ้านนอกมีไก่ขันยามเช้า และมีเสียงคนจูงควายไปนา ทำให้มีเสียงควายเดินตามถนนในหมู่บ้าน ผมก็เลยตื่นเพราะเสียงรบกวนนี่แหละ พอตื่นขึ้นมาก็จะหันซ้าย หันขวา ไม่พบใครเลย คุณตาไปไหนฟะ ???

ผมก็จะเดินลงมาจากที่นอน เดินมาข้างล่างเพื่อมาที่กองไฟ แล้วจะพบคุณตาก่อไฟ นั่งผิงไฟอยู่ตรงนั้น บางวันก็มีเมล็ดมะขามเอาไปหมกไว้ใต้กองไฟ เพื่อให้สุกแล้วนำมาอม (กินได้จริง ๆ นะครับ) บางวันก็เอาข้าวมาปั้น ๆ แล้วเอาไม้ลำปอเสียบ จากนั้นเอาเกลือทา แล้วก็เอาไปปิ้ง เรียกกันว่าข้าวจี่ครับ อร่อยมาก ๆ สำหรับผมในวัยเด็ก เป็นอะไรที่อร่อยยิ่งกว่า พิซซ่า ในห้างหรูซะอีก

พอมาถึงผมก็จะโมโห รีบวิ่งมาซ้อมคุณตา ชก ๆ ต่อย ๆ ที่ทิ้งผมมาโดยไม่บอก ต้องให้ผมมาตามหา ตาก็จะบอกว่า เล่นมวยอีสูใส่กันบ้อ (มวยอีสู ก็คือการชก ๆ ต่อย ๆ ตามประสาเด็กครับ)

ภาพวันวาน ช่างสดใส และมีความสุขเหลือเกิน รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปวันนั้นอีกครั้งจังเลย

สิ้นลมหายใจ

เมื่อวัยเด็กร่างกายผมอ่อนแอมาก แม่ก็นำผมมาไว้ให้คุณตาดูแล เลี้ยงดู เพราะแม่ต้องทำนาช่วยคุณตา และแล้ววันที่หลายคนไม่คาดคิดก็มาถึง เป็นวันที่หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกายผม

ใช่ครับ ผมสิ้นใจแล้ว...

ทุกคนต่างพากันเตรียมที่จะฝังผมเอาไว้ที่ป่าช้า (ณ ปัจจุบันคือข้างรั้ว ม. อุบล) ตอนนั้นคุณตาก็พยายามเป่าผม เอาน้ำลูบ เอาหว้านไฟมาทา เพื่อให้ผมฟื้นคืนกลับมาให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผลใด ๆ เพราะผมได้สิ้นใจไปแล้ว ไม่มียาใด ๆ หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์อะไรจะทำให้คนตายฟื้นคืนกลับมาได้ จะมีก็เพียงสิ่งเดียวนั่นคือ ปาฏิหารย์ เท่านั้น

เรื่องที่ผมเล่านี้เป็นเรื่องจริงครับ ผู้เฒ่าในหมู่บ้านยืนยันได้ ถึงเรื่องเหตุการณ์นั้น เอาล่ะ ขอเล่าต่อแล้วกัน

แม่และป้า ก็เตรียมการที่จะฝังผมแล้วเรียบร้อย แต่คุณตาไม่ยอมแพ้ ยังมุ่งหน้าเป่า ๆ ๆ และเป่าผม เพื่อให้ฟื้นคืนมาให้ได้ จนกระทั่ง สิ่งที่เรียกว่าปาฏิหารย์นั้นมีจริง สีผิวของผมเริ่มคืนกลับมาเป็นคนปกติ และมีลมหายใจรวยริน แม้จะแผ่วเบา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่สื่อให้ทุกคนรู้ว่า ผม "ฟื้น" คืนมาแล้ว

หากวันนั้นคุณตาไม่เป่าผม หากวันนั้นทุกคนเชื่อว่าผมตายสนิท และรีบฝังผมไว้ในป่าช้า ณ วันนี้ก็จะไม่มีบันทึกนี้คุณได้อ่านอย่างแน่นอน และที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นคือ จะไม่มีประวัติชีวิตของผม ผู้ชายที่ชื่อ ถาวร ศรีเสนพิลา ปรากฏอยู่บนสื่อใด ๆ อย่างแน่นอน

ผมเดินได้แล้ว


เนิ่นนาน ที่ผมลืมตาขึ้นมาดูโลก บัดนี้ผมเริ่มเดินได้แล้วครับ ยืนเป็นละ เดินเป็น และพูดเก่งซะด้วยสิ เรียกแต่คุณแม่จั้บ คุณแม่จั้บ มาอุ้มกบหน่อย

ในตอนนั้นผมอายุประมาณปีกว่า ๆ จะติดแม่มาก ไม่ว่าไปไหน ก็ต้องมีแม่อยู่ด้วยตลอด แล้วพ่อผมหายไปไหน !!! อันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ทว่า ในห้วงความทรงจำวัยเด็กนั้น ไม่มีพ่ออยู่เลย

ตอนเด็กนั้นผมกินเยอะ กินเก่ง และดื้อมาก ๆ ชอบเล่นสิ่งของในบ้าน ทำเอาข้าวของกระจายไปหมดจนแม่ต้องคอยดูแลตลอดทุกฝีก้าว ตอนนั้นจำได้ว่าติดนมอย่างมาก ต้องกินนมแม่บ่อย ๆ จนกระทั่งแม่เอาเครือกอฮอร์ มาทานม เวลากินก็จะขม ๆ ครับทำให้สุดท้ายผมก็หย่านมไปเอง สมัยก่อนเขาใช้วิธีนี้กันจริง ๆ แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไรเพื่อให้เด็กหย่านม

หลังจากเริ่มเดินเป็น ความอยากรู้ อยากเห็นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ผมเดินไปนั่น ไปนี่สารพัดไปหมด แล้วก็จำได้ว่าตัวเองชอบกินขนม กินอะไรที่หวาน ๆ ครับ อยากจะกิน กิน กิน แล้วก็กิน จนวัยเด็กผมกลายเป็นเด็กอ้วนเลยล่ะ โตขึ้นมาสงสัยไม่มีอะไรจะกินก็เลยผอม ฮ่าๆๆๆ

วันแรก ของความทรงจำ

ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายคนเกิดมาย่อมจำวันแรกของชีวิตตัวเองไม่ได้ อาจจะด้วยเหตุผลอะไรนั้นผมเองยังไม่ได้หาคำตอบ แต่ผมยังจดจำ วันแรกของความทรงจำได้ดี ตอนนั้นอายุผมน่าจะเกือบ 1 ปี ผมอยู่ในอ้อมกอดแม่ และยังเดินไม่เป็น เชื่อไหมครับว่า ผมยัง "จำได้"

แม่พยายามหัดให้ผมกินข้าวให้เป็น และหัดภาษามนุษย์ให้กับผม ตอนนั้นผมยังคลานไป คลานมาอยู่เลย บางทีก็นอนกลิ้งกับพื้นนานแสนนาน นานเสียจนผม หลับไป

ภาพวันวานค่อนข้างเลือนลางอย่างมาก แม้จะจดจำไม่ได้ทั้งหมด
แต่แม่รู้ไหมว่า ผมอบอุ่นเหลือเกิน เมื่อนึกถึงภาพในวันเก่า ๆ
...

ตอนนั้นผมเริ่มมีความทรงจำบ้างแล้ว แต่การออกเสียง และการเคลื่อนไหว ยังทำไม่ได้ หัวสมองเชื่องช้า ความคิดอ่านไม่มีอะไรนอกจาก "หิว" กับ ร้องหาแม่

8 กรกฏาคม พ.ศ 2528 กำเนิด ถาวร

เมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ 2528 วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมลืมตาดูโลก ออกมาจากท้องแม่เพื่อร้องอุแว้ เหมือนเด็กทั่วไป น่าเสียดายยิ่งนักที่ผมจำไม่ได้ว่าผมเกิดเวลาไหนของวันนั้น

ณ โรงพยาบาล สรรพสิทธิประสงค์ หรือโรงบ่ายค่ายทหาร นั่นแหละครับ คือที่เกิดของผม แม่คลอดผมที่นั่น วันนั้นเอง มีใครมาบ้างในวันเกิดผมวันแรก อันนี้ผมก็จำไม่ได้แล้ว และแม่ก็บอกเพียงว่ามีพ่อ มียาย มีคุณตา เท่านั้นครับ

ทำไมผมได้ชื่อเล่นว่า "กบ" อันนี้ผมเองก็ไม่รู้ที่มาเหมือนกัน อาจจะด้วยวันนั้นฝนตก แล้วกบร้องระงมทั่วโรงบาลหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ส่วนชื่อ "ถาวร" ได้มาจาก พ่อผมชื่อ "สุนทร" แม่ก็เลยตั้งชื่อให้สอดคล้องกัน จะได้เรียกง่าย ๆ ครับ เอาล่ะ ตอนนี้ก็รู้ที่มาที่ไปของชื่อผมแล้วสินะ เดี๋ยวมาดูกันต่อว่า ช่วงที่ผมเกิดมานั้นผม "เฉียดตาย" อย่างไรบ้าง

เริ่มกันจาก วันที่ผมเกิดมานั้น ผมไม่ได้อยู่ในท้องแม่ครบ 9 เดือน เหมือนกับเด็กคนอื่น เพราะผมอยู่เพียง 7 เดือนเท่านั้น ทำให้สภาพร่างกายของผมนั้นแทบไม่รอด เพราะตัวเล็กมาก แค่เท่าข้อมือเท่านั้นเอง แถมยังอ่อนแอ จนไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้ หมอก็เลยเอาเข้าตู้อบ และฉีดยาให้อีกกว่า 200 เข็มทั่วตัว เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการเอาชนะธรรมชาติ "ผม" คงมีชีวิตมาถึงวันนี้ไม่ได้ หากไม่มีตู้อบช่วยหล่อเลี้ยงไว้นานถึง 2 เดือน

ระหว่างนั้นพ่อของผม ซึ่งมียศสิบตรี ก็ต้องไปตลาดแต่เช้า เพื่อรับปิ้งไก่ ยาสูบ มาขายให้กับทหารที่กองร้อย พร้อมทั้งรับจ้างเข้าเวรตอนกลางคืน เพื่อให้มีเงินซื้อนมให้กับลูกชายคนแรกของครอบครัว เมื่อคราวต้องมานอนเฝ้าแม่ พ่อก็ต้องนอนหน้าห้องน้ำโรงพยาบาล ยายผมก็ต้องโดนพยาบาลขับไล่ อย่างไม่ให้เกียร์ติ นี่คือจุดเริ่มต้นของ ถาวร ศรีเสนพิลา CEO ใหญ่แห่ง javathailand และ pingpongsoft บ. Software ชั้นนำของประเทศ

วันแรกของผม

บลอกนี้ผมก็จะมาเขียนบทความเล่าเรื่องราวของตัวเองไว้ ณ อีกมุมหนึ่งบนโลกออนไลน์ เผื่ออยากกลับมาอ่าน เพื่อฟื้นความทรงจำ หรือทบทวนบางเรื่องราว ที่อาจขาดหายไป ณ บางช่วงของชีวิต

ผมเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เกิดมาบนครอบครัวร่ำรวย หรือมีชื่อเสียงอะไร และอาจขาดหายหลายอย่างที่ครอบครัวคนอื่นเขามีกัน ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่น หรือสิ่งอื่นใดก็ตามแต่ ที่หลายคนมีอยู่แล้ว ทว่า มองเห็นเพียงคุณค่าอันน้อยนิด แต่เป็นสิ่งที่ผมเฝ้าฝันหา ทั้งชีวิต

เปิดตัวด้วยคำนำ ชวนติดตาม ไม่ได้ต้องการให้มีใครกดไลท์ หรือคอมเมนต์ เพียงแต่ เรื่องราวที่ผมจะเขียนจากนี้ไป เป็นเรื่องราวของผมจริง ๆ และมันอาจจะดูเหลือเชื่อ ทว่า แฝงไปด้วยวิญญาณของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ทุกอักขระที่จารึกไว้บนเว็บแห่งนี้ มีจิตวิญญาณของผมปักเอาไว้