วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

กะลาสีเรือ ผู้โง่เขลา

...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กะลาสีเรือคนหนึ่ง มองเห็นเกาะสวยงามอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่เลือนลางด้วยม่านหมอก
...เขาคิดว่าเกาะนั้น ต้องมีสมบัติมากมาย และน่าอยู่อย่างแน่นอน จึงออกแรงพาย ออกจากเกาะเดิมที่เขาอาศัยอยู่มานานหลายปี แม้ผู้คนจะคัดค้านสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่ฟังเสียงของใคร
...ระหว่างทางเจอพายุฝนกระหน่ำ ท่ามกลางกระแสลม และฝน รวมทั้งคลื่นทะเล บางครั้งเขาก็คิดท้อใจ ว่าจะพายต่อ หรือกลับไปที่เกาะเดิม แต่ เขาเชื่อว่า เกาะที่เห็นข้างหน้าจะต้องสวยงามอย่างแน่นอน

...เขาออกแรงพาย วันแล้ววันเล่า จนในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกที เกาะที่เขามองเห็นนั้น ไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่เงาสะท้อนจากผิวน้ำเท่านั้นเอง
...ขณะนี้เขาหมดแรงเสียแล้ว เขาคิดถึงเกาะเดิมที่เคยอยู่เหลือเกิน ในที่สุดกะลาสีเรือผู้นี้ก็ลอยแพ อยู่ท่ามกลางทะเลที่มืดมิด เต็มไปด้วยคลื่นลมกระหน่ำ อย่างไม่ขาดสาย

เขาคงตายในอีกไม่นาน...
...แด่ กะลาสีเรือ ผู้โง่เขลา กว่าเจ้าจะรู้ว่ามาผิดทาง ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

ชีวิตของใครหลายคน อาจเป็นเช่นในนิทานเรื่องนี้ รวมถึงชีวิตของผมด้วย

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

สุดท้าย

และแล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ทุกอย่าง ลาก่อนนะ คนโกหก ตอแหล ที่ไม่เคยรักกันเลย...

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

และแล้วสิ่งที่กลัวก็เป็นจริง

มันไม่แปลกอะไรหรอก ถ้าสิ่งที่เรากลัวมาตลอดเวลา เป็นความจริง
ก็เพราะ มันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่รอเวลา ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
เมื่อเวลามันมาถึง เราไม่สามารถหยุดอะไรได้อีก
น้ำฝน...
คนที่ผมรัก...
ได้จากไปแล้ว เขาบลอคทุกช่องทางไม่ให้ผมติดต่อได้อีก...

มันเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เธอจะต้องไปทำงานที่ระยอง ซึ่งอยู่ใกล้แฟนเก่าของเธอ
และแฟนเก่า เป็นคนหางาน และที่พักให้...
เมื่อเวลามาถึง ผมก็ถูกกำจัดออกจากเส้นทาง...

ไม่ได้เสียใจ หรือเสียดายอะไร เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
เราก็ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด และทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน หลายอย่าง
ความทรงจำที่สวยงาม และประทับใจ
เรื่องราวของเราสองคน จะอยู่ตรงนี้ ตลอดไป

ขอบคุณเวลา ที่หมุนไปอย่างไม่หยุด ทำให้เราสองคน เข้าใจกันมากขึ้น
ขอบคุณโอกาส ที่หยิบยื่นให้แก่กัน เพื่อให้เราได้คบหา และศึกษากัน
ขอบคุณทุกสิ่ง ที่ผ่านเข้ามาทดสอบเรา
แม้สุดท้าย เราจะผ่านมันไปด้วยกันไม่ได้ แต่อย่างน้อย
ตอนนี้...

ผมก็เผลอยิ้ม เมื่อนึกถึง น้ำฝน...
สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงรองเท้าหนึ่งคู่ กับภาพวาด และจดหมายอำลา...
ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่สั้นๆ แต่มันมีคุณค่ามาก

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผมกลัวแล้ว

ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...
ผมกลัวแล้ว...

กลัวแล้วจริงๆ อย่าทำผมอีกเลย...

ของขวัญปีใหม่

ผมชื่อกบ...
รักผู้หญิงคนเดียว ชื่อฝน...
แต่แล้วฝนก็ทำให้ผมรู้ว่า...
ผมไม่สามารถไว้ใจเขาได้แล้วจริงๆ...
คงต้องใช้เวลา ในการพัก และลืมเรื่องราวต่างๆ ที่มีต่อกัน...
นี่คือของขวัญปีใหม่ ที่ได้รับ จากฝน...

คำอำลา ของฝน...
ยังย้ำอยู่ในหัว มันดังก้องเป็นระยะ...

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังกลางแปลง

ตอนเป็นเด็ก พ่อใหญ่ จะพาผมไปดูหนังกลางแปลงตลอดเลยครับ ท่านจะจูงมือหลานเดินข้ามหมู่บ้านไปทีละหลาย ๆ หมู่บ้านเพื่อดูหนังกลางแปลง บางทีก็ให้ขี่หลัง สมัยโน้นไม่มีจักรยาน หรือรถยนต์แบบทุกวันนี้ครับ เพราะทางบ้านค่อนข้างจน จริงแล้วต้องเรียกว่า จนเลยล่ะ ไม่ใช่ค่อนข้างจน

แต่ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขมากครับ ไม่สำคัญหรอกว่า เราจะมีเงินเท่าไหร่
ว่าแต่ ทำไมผมถึงชอบดูหนังกลางแปลงนะ นั่นสิ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนเยอะ มีของเล่นขายในงาน มีลูกโป่ง แล้วก็มีหนังจอใหญ่ ๆ ฉายบนผ้า ว้าวววว ผมตื่นเต้นมากเลยครับ ไม่รู้เรื่องหรอกว่าหนังอะไร รู้แค่ว่ามีความสุขมากมาย กว่าจะได้กลับบางทีก็ดึกมาก แต่จำไม่ได้ว่าดึกแค่ไหน

ทุกครั้งที่ไปก็จะถือเก้าอี้เล็ก ๆ ไปด้วย (ตั่ง) แล้วก็มีเสื่อไปด้วยเอาไว้นั่งครับ เพราะถ้าไม่เอาไปเราก็ต้องนั่งกับพื้นหญ้า บางทีก็มีมด บางทีก็เปียก

ยิ่งเข้าหน้าหนาว เวลาไปดูหนังกลางแปลงนะครับ ถึงกับต้องเอาผ้าห่มไปด้วย เพราะอากาศจะหนาวมาก เคยมีหลายครั้งที่ผมหลับไปเลย แล้วคุณตาอุ้มกลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ ชีวิตในวัยเด็กของผมก็เลยจะผูกพันธ์กับคุณตาอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นพ่อคนที่สองของชีวิตผมเลย ท่านสอนหลายสิ่ง ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และได้ให้แนวคิดดี ๆ มากมาย จนกลายมาเป็นผมในวันนี้ได้

พ่อใหญ่อ่อน

พ่อใหญ่อ่อน หรือจารอ่อน คือคุณตาของผม ท่านเป็นที่เคารพของผู้คนทั้งหมู่บ้าน เพราะว่าท่านมีมนต์ที่เป่ารักษาคนได้ ไม่ว่าจะเป็นไข้ ก้างปลาติดคอ ไม่สบาย หรือเป็นโรคอะไรต่าง ๆ ที่ทางการแพทย์รักษาไม่หาย หากได้ให้คุณตาผมเป่าเป็นต้องหายทุกรายครับ คนก็เลยพากันแวะเวียนมาเยอะมาก ๆ ไม่ใช่เพราะว่ารักษาได้จริง แต่เพราะไม่คิดค่ารักษา และถามไถ่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง ทำให้มีคนมาเยอะ แล้วก็มักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากกันประจำ ผมก็เลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย

ช่วงวัยเด็กนั้น แม่จะให้ผมอยู่กับคุณตา ตอนนั้นเองผมก็นอนดึก ชอบเล่นดิน เล่นใบไม้ จนดึกดื่นบางวันก็เกือบเช้า คุณตาก็ต้องเล่นเป็นเพื่อนผมตลอดเวลา ท่านใจดีมาก คอยดูแลหลานชายคนนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่เคยดุด่า ว่าตี แม้แต่ครั้งเดียว เป็นคุณตาที่แสนอบอุ่น อบอุ่นอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกได้จากที่ไหนเลย

มีหลายฉากหลายตอนมาก ที่อยากเล่า เกี่ยวกับผมในวัยเด็ก และคุณตาของผม ที่ผมจะจำได้แม่นที่สุดคือตอนเข้านอน กับตอนตื่นนอนครับ ขอเล่าทีละตอนแล้วกัน เริ่มจากตอนเข้านอนคุณตาจะพาสวดมนต์ และที่น่ารักมาก ๆ อย่างที่สุดก็คือคุณตาจะเล่านิทานก่อนนอนให้หลานชายคนนี้ฟัง ทุกคืน บางทีก็หนึ่งเรื่อง บางทีก็หลายเรื่อง บางทีก็เล่าครึ่งนึงไว้ก่อน อีกครึ่งนึงค่อยเล่าวันหลัง ที่ชอบมากคือคุณตาจะมีเรื่องต่าง ๆ มาเล่าตลอดไม่เคยซ้ำซักที แถมยังจำได้อีกนะครับว่า เรื่องไหนเล่าไปแล้ว เรื่องไหนยังไม่เคยเล่า โอ้ ทำได้ยังไงเนี่ย

ที่จำได้แม่นยำอีกก็คือตอนตื่น ผมมักตื่นมาตอนเช้ามืดตลอดครับ อาจจะเพราะว่าที่บ้านนอกมีไก่ขันยามเช้า และมีเสียงคนจูงควายไปนา ทำให้มีเสียงควายเดินตามถนนในหมู่บ้าน ผมก็เลยตื่นเพราะเสียงรบกวนนี่แหละ พอตื่นขึ้นมาก็จะหันซ้าย หันขวา ไม่พบใครเลย คุณตาไปไหนฟะ ???

ผมก็จะเดินลงมาจากที่นอน เดินมาข้างล่างเพื่อมาที่กองไฟ แล้วจะพบคุณตาก่อไฟ นั่งผิงไฟอยู่ตรงนั้น บางวันก็มีเมล็ดมะขามเอาไปหมกไว้ใต้กองไฟ เพื่อให้สุกแล้วนำมาอม (กินได้จริง ๆ นะครับ) บางวันก็เอาข้าวมาปั้น ๆ แล้วเอาไม้ลำปอเสียบ จากนั้นเอาเกลือทา แล้วก็เอาไปปิ้ง เรียกกันว่าข้าวจี่ครับ อร่อยมาก ๆ สำหรับผมในวัยเด็ก เป็นอะไรที่อร่อยยิ่งกว่า พิซซ่า ในห้างหรูซะอีก

พอมาถึงผมก็จะโมโห รีบวิ่งมาซ้อมคุณตา ชก ๆ ต่อย ๆ ที่ทิ้งผมมาโดยไม่บอก ต้องให้ผมมาตามหา ตาก็จะบอกว่า เล่นมวยอีสูใส่กันบ้อ (มวยอีสู ก็คือการชก ๆ ต่อย ๆ ตามประสาเด็กครับ)

ภาพวันวาน ช่างสดใส และมีความสุขเหลือเกิน รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปวันนั้นอีกครั้งจังเลย